เมื่อนึกถึงนาฬิกา Brand name ระดับโลกคงหนีไม่พ้น Franck Muller จะต้องมีติด 1 ใน 5 ชื่อ แบรน์ดนาฬิกาที่ใครๆต่างก็รู้จัก หรือแม้แต่ ดารา Hollywood ก็มีกันอยู่ในคอลเลคชั่นสะสม แต่จะมีใครบ้างที่รู้ว่าจริงๆแล้ว Franck Muller ต้องฝ่าฝันอุปสรรคต่างๆมากมายในอดีตกว่าจะมีชื่อเสียงแบบในปัจจุบัน วันนี้เรามาเปิดประวัติ Franck Muller กันดีกว่าว่า ทำไมถึงกล้าบอกตัวเองว่าเป็น “Master of Complications” เจ้าแห่งกลไกนาฬิกาที่ซับซ้อนที่สุดในโลก

จุดเริ่มต้นความยิ่งใหญ่ของ Franck Muller
Frnack Muller คือชื่อของชายผู้ที่หลงใหลในนาฬิกาและมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมนาฬิกาไปตลอดกาล Franck Muller กำเนิดที่ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งแบรนด์นี้ขึ้นมาโดยเริ่มต้นจากความชอบและความหลงใหลในการประดิษฐ์ ซ่อม และประกอบกลไกต่างๆตั้งแต่เด็ก เมื่ตอนอายุ 15 เขาออกจากโรงเรียนธรรมดาแล้วไปเข้าโรงเรียนสำหรับช่างทำนาฬิกา Geneva School of Watch Making เขาเริ่มหาซื้อนาฬิกาเก่า นำมาซ่อมและขายให้กับนักสะสม Franck Muller เรียนจบในปี 1978 ซึ่งในปีนี้เอง เป็นปีที่นาฬิกาควอทซ์เริ่มมีบทบาทในอุตสาหกรรมนาฬิกา ซึ่งในยุคนั้นถือว่าเป็นยุคที่ตกต่ำที่สุดในอุตสาหกรรมนี้ แต่ Franck Muller ไม่ได้หลงใหลไปกับนาฬิกาควอทซ์และยืนหยัดต่อสู้ที่จะทำนาฬิกากลไกออกมา ในปี 1978 เขาได้รับซ่อมนาฬิกาให้กับเพื่อนบ้านหรือจากบุคคลธรรมดา ไม่ว่านาฬิกาจะมาจากสถานที่แห่งใดเขารับซ่อมได้หมดและภายในปี 1980s นั้นเองเป็นปีที่เขาได้รับชื่อเสียงไปทั่วโดยที่เขา ได้ซ่อมนาฬิกา คอลเลคชั่นของ Patek Philippe Museum ทำให้เขาถูกยอมรับใน ฐานะนักซ่อมนาฬิกา และด้วย อาชีพซ่อมนาฬิกาของเขาทำให้เขาเริ่มฉุกคิดได้ว่าตัวเองไม่ได้สามารถแค่ซ่อมนาฬิกา แต่สามารถสร้างนาฬิกาของตัวเองได้อีกด้วย โดยรุ่นนาฬิกาที่เขาผลิตเองกับมือ มีชื่อรุ่นว่า World Premiers เป็นรุ่นที่มีกลไกซับซ้อนแบบที่ไม่เคยมีใครผลิตมาก่อน

World Premiers ถูกผลิตในปี 1986 โดยผลิตเพียงแค่ 3-4 เรือนต่อปีเท่านั้น โดยแต่ละเรือนจะต้องผ่านมือการประดิษฐ์ของ Franck Muller ที่ประกอบที่ละชิ้นด้วยตัวเอง

ในปี 1986 ณ งาน Basel Fair เขาได้นำเสนอผลงาที่สร้างชื่อเสียงของเขาอีกครั้งโดยที่คนในงานต่างตกตะลึ่งให้กับนาฬิกาที่เขาสร้าง นาฬิกาที่เขาสร้างขึ้นมาเป็น นาฬิกาข้อมือแบบ ทูรบิญองหมุนอิสระพร้อมกับ Jumping Hours และหน้าปัดย่อย นาฬิกาแบบทูรบิญองใน 20 กว่าปีก่อนเป็นเรื่องใหม่ที่ซับซ้อนแล้วทำยากมากๆ ช่างนาฬิกาแต่ละคนไม่มีใครเคยคิดมาก่อนและในปีเดียวกันนั้นเอง เขาได้สร้างนาฬิกาให้กับภรรยาของชาวอิตาลีท่านหนึ่ง โดยทรงของนาฬิกาจะเป็นรูปลักษณ์ ถังเบียร์ หรือ Cintree Curvex และสุดท้ายนาฬิกาทรงนี้ก็ได้เป็นสัญลักษณ์อีกหนึ่งอย่างของ Franck Muller

ในปี 1991 Franck Muller ก็ได้พบกับ Vartan Sirmakes ผู้ร่วมก่อตั้งแบรนด์และเสนอให้เปลี่ยนรูปลักษณ์ของแบรนด์ที่ผลิตที่ละน้อยๆขึ้นมาเป็นองค์กรขนาดใหญ่และกลายเป็น Franck Muller แบบในปัจจุบัน

ด้วยการที่ Franck Muller พัฒนาตัวเองแบบไม่หยุดตลอดมา ในปี 2004 Franck Muller ได้ทำการเขย่าวงการบาฬิกาอีกครั้งหนึ่งด้วยการสร้างนาฬิกาแบบ ทูร์บิญอง 3 แกนได้เป็นครั้งแรกของโลก สามารถป้องกันแรงโน้มถ่วงได้รอบทิศทาง ต่างจากทูร์บิญองธรรมดาที่ชดเชยแรงก้ตือเมื่อนาฬิกาอยู่ในแนวตั้ง ซึ่งชื่อรุ่นนาฬิกา ทูร์บิญอง 3 แกน ก็คือ Revolotion 3

และในปี 2009 ได้สร้างความตกตะลึงอีกครั้งโดยเปิดตัวนาฬิการุ่น Aetemitas Mega 4 ซึ่งเป็นนาฬิกาข้อมือที่ซับซ้อนที่สุดในโลก ประกอบด้วย 36 ฟังก์ชัน ส่วนประกอบ 1483 ชิ้น และมีปฎิทิน 1,000 ปี ใช่ครับเขียนไม่ผิด นาฬิกาแบรนด์อื่นๆจะทำแค่ 100 ปี แต่ Franck Muller ทำไปถึง 1,000 ปี เลยทีเดียว เพราะความคิดสร้างสรรค์และพรสรรค์บวกกับความพยายามไม่ล้มเลิก ชื่อของ Franck Muller จึงถูกยอมรับว่าเป็น “Master of Complications” ที่จะถูกสลักอยู่ในด้านหลังของนาฬิกา Franck Muller ทุกเรือน

นอกจากรุ่นต่างๆที่กล่าวมาแล้ว Franck Muller ยังมีอีกหลายรุ่นที่เป็น “Master of Complication” ไม่ว่าจะเป็น Fast Tourbillon,Giga Tourbillon,Perpetual Calandar, Tourbillon Minute Repeater Skeleton, Grand Central Tourbillon Curvex Cx, Gravity

และอีก 1 รุ่นที่ผู้เขียนชอบมากๆ คือ รุ่น Crazy Hours โดยที่หน้าปัดแสดงตัวเลขจะไม่ได้เรียง 1 ถึง 12 แต่จะสลับตัวเลขกันแบบมั่วไปหมด แต่การอ่านเวลายังเหมือนเดิมโดยที่ เข็มหลักชั่วโมง จะกระโดดไปตามตัวเลขของเวลาที่เราตั้ง ซึ่งรุ่นนี้เป็นรุ่นที่ผู้เขียนชอบมากๆอีกด้วย

จบกันไปแล้วนะครับสำหรับ การเปิดประวัติแบรน์ดนาฬิการะดับโลกของ Franck Muller ถ้าชอบบทความนี้ Watchmanbkk ฝากเพื่อนๆแชร์ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ สำหรับบทความต่อไปจะเป็นอะไรฝากติดตามกันด้วยครับ เข้ามาอ่านแล้วอย่าลืมไปดูนาฬิกาที่ Watchmanbkk ขายด้วยนะ ราคาไม่แพง เช็คสภาพนาฬิกาเองกับมือเลยครับ